Stereo EEG (sEEG)

Stereo EEG (sEEG) เป็นเทคนิคการวินิจฉัยที่มี non-invasive ใช้เพื่อระบุพื้นที่ที่แน่นอนในสมองที่เป็นต้นกำเนิดของอาการชัก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชักดื้อต่อยา (drug-resistant epilepsy) และอาจเป็นผู้ที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดรักษา ต่างจากการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองแบบทั่วไป (scalp EEG) ที่วัดการทำงานของสมองจากขั้วไฟฟ้าที่วางบนหนังศีรษะ sEEG จะใช้การสอดขั้วไฟฟ้าเข้าไปในสมองโดยตรงผ่านรูเล็ก ๆ ที่เจาะในกะโหลกศีรษะ ทำให้สามารถตรวจจับการทำงานของสมองที่ลึกได้อย่างละเอียดและมีความแม่นยำมากขึ้นในมิติ 3 มิติ

ลักษณะสำคัญของ Stereo EEG (sEEG) สำหรับโรคลมชัก:

  1. วัตถุประสงค์:
  • จุดประสงค์หลักของ sEEG คือการระบุจุดต้นกำเนิดของการชัก (seizure focus) หรือพื้นที่ที่สมองสร้างอาการชัก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็น ลมชักเฉพาะที่ (focal epilepsy)
  • sEEG ถูกใช้ในกรณีที่วิธีการที่ non-invasive เช่น MRI, scalp EEG และเทคนิคการถ่ายภาพอื่น ๆ ไม่เพียงพอที่จะระบุตำแหน่งต้นกำเนิดของการชักได้ชัดเจน
  • ช่วยตัดสินใจว่าผู้ป่วยสามารถรับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการชักได้หรือไม่ โดยต้องแน่ใจว่าพื้นที่สมองสำคัญไม่ถูกกระทบ
  1. กระบวนการ:
  • การวางแผนก่อนผ่าตัด: ก่อนทำ sEEG ผู้ป่วยจะต้องผ่านการประเมินอย่างละเอียด เช่น MRI, การตรวจ PET และการประเมินทางจิตวิทยา เพื่อระบุตำแหน่งที่อาจเป็นต้นกำเนิดของการชัก
  • การสอดขั้วไฟฟ้า: ขั้วไฟฟ้าจะถูกสอดเข้าไปในสมองผ่านรูเล็ก ๆ ในกะโหลกศีรษะ โดยทำภายใต้การดมยาสลบ ขั้วไฟฟ้าจะถูกวางในพื้นที่เฉพาะตามประวัติการชักของผู้ป่วยและการวิเคราะห์ทางกายวิภาค
  • การติดตามอาการ: ผู้ป่วยจะถูกติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาหลายวันถึงสัปดาห์ โดยขั้วไฟฟ้าจะบันทึกการทำงานของสมองระหว่างการชักและช่วงปกติ
  • การวิเคราะห์ข้อมูล: ข้อมูลที่บันทึกได้จะถูกวิเคราะห์เพื่อระบุตำแหน่งต้นกำเนิดของการชักและเส้นทางที่อาการชักส่งผลต่อสมอง
  1. ข้อดีของ sEEG:
  • ความแม่นยำ: sEEG ให้การวิเคราะห์แบบ 3 มิติที่แม่นยำมาก ทำให้สามารถระบุตำแหน่งที่ลึกในสมองที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วย EEG แบบดั้งเดิม
  • การบุกรุกน้อยกว่า: เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีอื่นเช่น subdural grids ที่ต้องเปิดกะโหลก sEEG ใช้การเจาะรูเล็ก ๆ ในกะโหลก ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วกว่า
  • ความปลอดภัย: sEEG มีความเสี่ยงน้อยกว่าวิธีการผ่าตัดอื่น ๆ โดยมีความเจ็บปวดน้อยกว่า ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และมีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดน้อยกว่า
  1. ผู้ที่เหมาะสมกับ sEEG:
  • ผู้ป่วยที่มี ลมชักดื้อต่อยา (drug-resistant epilepsy) หรือที่เรียกว่า ลมชักที่รักษาไม่หาย (intractable epilepsy) ซึ่งอาการชักไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา
  • กรณีที่การวินิจฉัยเบื้องต้นไม่สามารถระบุตำแหน่งต้นกำเนิดของการชักได้อย่างชัดเจน
  • ผู้ป่วยที่อาจได้รับประโยชน์จากการผ่าตัดเพื่อควบคุมการชัก แต่ต้องการการวางแผนอย่างละเอียดเพื่อตัดสินใจไม่ให้กระทบต่อพื้นที่สมองสำคัญ เช่น การควบคุมการเคลื่อนไหว ภาษา หรือความจำ
  1. ความเสี่ยง:
  • แม้ว่า sEEG จะเป็นวิธีการที่มีการบุกรุกน้อยกว่า แต่ก็ยังมีความเสี่ยงบางประการ เช่น:
    • การติดเชื้อ: อาจเกิดการติดเชื้อที่บริเวณที่สอดขั้วไฟฟ้า แม้ว่าจะพบได้น้อย
    • เลือดออกในสมอง: อาจเกิดเลือดออกภายในสมองเล็กน้อย (intracranial hemorrhage) แต่เป็นกรณีที่พบไม่บ่อย
    • การบาดเจ็บต่อสมอง: มีความเสี่ยงน้อยต่อการบาดเจ็บของเนื้อสมองระหว่างการสอดขั้วไฟฟ้า แต่มีการวางแผนอย่างรอบคอบและใช้เทคนิคที่ทันสมัยเพื่อลดความเสี่ยงนี้
  1. ผลหลังการทำ sEEG:
  • เมื่อสามารถระบุตำแหน่งต้นกำเนิดของการชักได้แล้ว แพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด:
    • การผ่าตัดลมชัก: หากตำแหน่งที่เกิดการชักสามารถระบุได้ชัดเจนและอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ส่งผลกระทบสำคัญ การผ่าตัดเพื่อนำส่วนที่เป็นปัญหาออกหรือทำให้ไม่เชื่อมต่อกับส่วนอื่น ๆ ของสมองอาจช่วยลดหรือกำจัดการชักได้
    • การกระตุ้นระบบประสาท: ในกรณีที่การผ่าตัดไม่สามารถทำได้ อาจพิจารณาการรักษาด้วย การกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (Vagus Nerve Stimulation – VNS) หรือ การกระตุ้นระบบประสาทตอบสนอง (Responsive Neurostimulation – RNS) เพื่อควบคุมการชัก
  • ผู้ป่วยที่ผ่านการทำ sEEG มักฟื้นตัวได้เร็วและสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ภายในไม่กี่วัน

สรุป:

Stereo EEG (sEEG) เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวินิจฉัยและระบุตำแหน่งการชักในผู้ป่วยที่มีลมชักดื้อต่อยา โดยให้ข้อมูลแบบ 3 มิติที่ละเอียดเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ทำให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งที่เกิดการชักได้อย่างชัดเจนโดยเฉพาะในกรณีที่วิธีการวินิจฉัยแบบทั่วไปไม่เพียงพอ วิธีนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการรักษาที่ดีที่สุดเพื่อช่วยลดหรือกำจัดอาการชักโดยไม่กระทบต่อการทำงานสำคัญของสมอง.

Rasmussen Encephalitis (โรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติส) 

Rasmussen Encephalitis (โรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติส) เป็นโรคทางระบบประสาทที่หายากและเรื้อรังซึ่งมีการอักเสบของสมองและมักส่งผลกระทบกับสมองซีกใดซีกหนึ่ง โดยทั่วไปโรคนี้เกิดขึ้นในเด็ก แม้ว่าผู้ใหญ่ก็สามารถได้รับผลกระทบเช่นกัน โรคนี้จะนำไปสู่ความเสื่อมถอยทางระบบประสาทและมีลักษณะเด่นคืออาการชักรุนแรงที่ดื้อยารักษา สาเหตุที่แท้จริงของโรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติสยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการออโตอิมมูน ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อสมองของตัวเอง

ลักษณะสำคัญของโรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติส:

  1. การเริ่มต้นของโรค:
    • ส่วนใหญ่จะเริ่มในวัยเด็ก โดยมักเกิดขึ้นในช่วงอายุ 6 ถึง 10 ปี
    • โรคนี้อาจเริ่มต้นช้า ๆ แต่จะเลวร้ายลงเมื่อเวลาผ่านไป
  2. อาการ:
    • อาการชักบ่อยครั้ง: มักเป็นการชักเฉพาะที่ (เกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของสมอง) และมักจะดื้อยารักษา
    • อัมพาตครึ่งซีก (Hemiparesis): อ่อนแรงหรืออัมพาตที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย (ตรงข้ามกับซีกของสมองที่ได้รับผลกระทบ)
    • การเสื่อมถอยของสติปัญญา: การเสื่อมถอยของความสามารถในการคิด เช่น ความจำและสมาธิ
    • ความบกพร่องทางภาษา (Aphasia): มีความยากลำบากในการพูดหรือเข้าใจภาษา โดยเฉพาะถ้าสมองซีกซ้ายได้รับผลกระทบ
    • การสูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อ: รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับการประสานงาน การเคลื่อนไหว และการควบคุมกล้ามเนื้อ
  3. การดำเนินโรค:
    • โรคนี้มักเริ่มต้นด้วยอาการชักบ่อยครั้งและมักเกิดพร้อมกับอาการอัมพาตครึ่งซีก
    • เมื่อเวลาผ่านไป อาการชักจะเกิดบ่อยขึ้น และสมรรถภาพทางระบบประสาทจะลดลง
    • สมองซีกที่ได้รับผลกระทบจะเริ่มหดตัวลงเมื่อโรครุนแรงขึ้น
  4. สาเหตุ:
    • สาเหตุที่แท้จริงของโรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติสยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับ ภูมิต้านทานตนเอง (autoimmune disorder) ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อสมองที่ปกติ
    • ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมอาจมีบทบาท แต่ยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่ชัด
  5. การวินิจฉัย:
    • MRI: การถ่ายภาพสมองจะแสดงการอักเสบและการหดตัวของสมองซีกที่ได้รับผลกระทบ
    • EEG: แสดงการทำงานของคลื่นไฟฟ้าสมองที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดอาการชัก
    • การตรวจเลือด: อาจพบแอนติบอดีที่เชื่อมโยงกับกระบวนการออโตอิมมูน แต่อาจไม่พบในทุกกรณี
    • การตรวจชิ้นเนื้อสมอง: ในกรณีที่จำเป็น อาจต้องทำการตัดชิ้นเนื้อสมองเพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัย

การรักษา:

  1. ยากันชัก: อาการชักในโรคนี้มักดื้อยากันชัก แต่ยาจะถูกใช้เพื่อควบคุมอาการในระยะแรก
  2. การบำบัดภูมิคุ้มกัน:
    • ใช้ สเตียรอยด์ หรือ อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือด (IVIG) หรือการ กรองพลาสมา (plasmapheresis) เพื่อกดระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ
    • ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น tacrolimus หรือ rituximab อาจช่วยชะลอความรุนแรงของโรค
  3. การผ่าตัด:
    • การผ่าตัดซีกสมอง (Hemispherectomy): ในกรณีที่อาการชักไม่สามารถควบคุมได้และการเสื่อมถอยของระบบประสาทเป็นไปอย่างรวดเร็ว การผ่าตัดซีกสมองเป็นวิธีการรักษาที่สามารถหยุดอาการชักได้ แม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดที่รุนแรง แต่ก็ช่วยป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมถอยไปมากขึ้น
  4. การฟื้นฟู: การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้านการทำงาน และการบำบัดการพูดมีความสำคัญในการช่วยปรับปรุงการเคลื่อนไหวและการสื่อสาร

Hemispherectomy (การผ่าตัดฮีมิสเฟียร์) เป็นกระบวนการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับการเอาฮีมิสเฟียร์ (ซีกสมอง) หนึ่งข้างออกและมักพิจารณาในกรณีที่รุนแรงของ Rasmussen Encephalitis (RE) ซึ่งเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่หายากและเกิดขึ้นอย่างก้าวหน้า มีลักษณะเป็นการอักเสบของสมองที่เกิดขึ้นเพียงข้างเดียว การผ่าตัดนี้มักจะทำเมื่อโรคนี้นำไปสู่อาการชักที่ไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ Hemispherectomy ใน Rasmussen Encephalitis:

  1. ภาพรวมของ Rasmussen Encephalitis:
    • RE มีผลกระทบต่อเด็กเป็นหลัก และมีอาการชักที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรง โดยมักส่งผลกระทบต่อซีกสมองเพียงข้างเดียว
    • ซีกสมองที่ได้รับผลกระทบจะมีการฝ่อลงอย่างก้าวหน้า (shrinkage) และมีการอักเสบ ส่งผลให้เกิดการบกพร่องทางระบบประสาท เช่น อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การเสื่อมถอยทางสติปัญญา และปัญหาด้านการพูด
    • อาการชักใน RE มักไม่ตอบสนองต่อยากันชัก ทำให้การแทรกแซงด้วยการผ่าตัดเป็นทางเลือกในการรักษา
  2. ข้อบ่งชี้สำหรับการผ่าตัด Hemispherectomy:
    • อาการชักที่ไม่สามารถควบคุมได้: ผู้ป่วยที่มีอาการชักที่ทำให้เกิดความทุพพลภาพซึ่งไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาแก้ชักหลายชนิด
    • คุณภาพชีวิต: ความรุนแรงของอาการชักและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอาจทำให้ต้องพิจารณาการผ่าตัด
    • ความบกพร่องทางระบบประสาทที่รุนแรง: หากความบกพร่องทางระบบประสาทมีความรุนแรง และอาการชักมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ การผ่าตัดอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น
  3. ประเภทของ Hemispherectomy:
    • Functional Hemispherectomy: เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด ซึ่งจะทำการเอาส่วนที่ทำงานของฮีมิสเฟียร์ที่ได้รับผลกระทบออก แต่จะรักษาโครงสร้างบางส่วน (เช่น สมองส่วนล่าง) ไว้
    • Anatomical Hemispherectomy: เกี่ยวข้องกับการเอาฮีมิสเฟียร์ที่ได้รับผลกระทบออกทั้งหมด รวมถึงโครงสร้างที่อยู่ลึก โดยวิธีนี้จะพบได้น้อยกว่าและมักจะใช้ในกรณีเฉพาะ
  4. ขั้นตอนการผ่าตัด:
    • ทำภายใต้การดมยาสลบ ศัลยแพทย์จะทำการเปิดแผลบนหนังศีรษะและเอาชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะออกเพื่อเข้าถึงสมอง
    • จากนั้นจะทำการตัดฮีมิสเฟียร์ที่ได้รับผลกระทบออก โดยระมัดระวังที่จะรักษาพื้นที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันที่สำคัญไว้
    • จะทำการปิด dura mater (ชั้นป้องกันภายนอกของสมอง) และมักจะทำการสร้างกะโหลกศีรษะกลับคืน
  5. ความเสี่ยงและการพิจารณา:
    • ความเสี่ยงจากการผ่าตัด: เช่นเดียวกับการผ่าตัดสมองอื่น ๆ มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดเชื้อ เลือดออก และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดมยาสลบ
    • ผลกระทบทางระบบประสาท: การเอาฮีมิสเฟียร์ออกสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในฟังก์ชันการเคลื่อนไหวและสติปัญญา แต่ผู้ป่วยหลายคนสามารถประสบกับการลดลงหรือการหยุดชักอย่างมีนัยสำคัญ
    • การฟื้นฟูหลังการผ่าตัด: มักต้องการการฟื้นฟูอย่างมากหลังการผ่าตัดเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ทักษะการเคลื่อนไหวและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง
  6. ผลลัพธ์:
    • ผู้ป่วยหลายคนที่เป็นโรค RE และเข้ารับการผ่าตัด hemispherectomy พบว่ามีการพัฒนาที่สำคัญในด้านการควบคุมอาการชักและคุณภาพชีวิตโดยรวม
    • ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดสามารถแตกต่างกันไปตามอายุของผู้ป่วย ขอบเขตของการบกพร่องทางระบบประสาทก่อนการผ่าตัด และประสิทธิภาพของการฟื้นฟู
    • การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยจำนวนมากสามารถไม่มีอาการชักหรือมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในความถี่ของอาการชักหลังการผ่าตัด
  7. การดูแลหลังการผ่าตัด:
    • การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอโดยแพทย์ระบบประสาทและทีมฟื้นฟูเป็นสิ่งสำคัญหลังการผ่าตัดเพื่อติดตามการฟื้นตัว จัดการกับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูของผู้ป่วย
    • การสนับสนุนและการบำบัดอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยเพิ่มการฟื้นฟูฟังก์ชันและปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวมได้

สรุป:

Hemispherectomy เป็นทางเลือกการผ่าตัดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรค Rasmussen Encephalitis ซึ่งประสบกับอาการชักที่ไม่สามารถควบคุมได้และมีการบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง แม้ว่าการผ่าตัดจะมีความเสี่ยง แต่ก็สามารถนำไปสู่การพัฒนาที่สำคัญในด้านการควบคุมอาการชักและคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ป่วยหลายคน การประเมินอย่างรอบคอบและการสนับสนุนหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์.

การพยากรณ์โรค:

  • โรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติสมี การพยากรณ์โรคที่แปรปรวน หากทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะการผ่าตัด อาจช่วยหยุดอาการชักและชะลอการเสื่อมของสมองได้
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมักจะมีความบกพร่องทางระบบประสาทที่หลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะด้านการเคลื่อนไหวและการพูด ขึ้นอยู่กับว่าซีกใดของสมองได้รับผลกระทบ
  • ผลลัพธ์ทางสติปัญญาขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วยและความรวดเร็วในการวินิจฉัยและการรักษา

สรุป:

โรคราสมุสเซนเอนเซฟาไลติสเป็นโรคทางระบบประสาทที่หายากและก้าวหน้า มักเกิดขึ้นในเด็กและทำให้เกิดอาการชัก ความเสื่อมของสติปัญญา และการสูญเสียการทำงานของกล้ามเนื้อเนื่องจากการอักเสบของสมองซีกใดซีกหนึ่ง การรักษามุ่งเน้นที่การควบคุมอาการชักและชะลอการลุกลามของโรค ด้วยการบำบัดภูมิคุ้มกันและการผ่าตัดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ การวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ สามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตและผลลัพธ์ทางระบบประสาทของผู้ป่วยได้

อาการชักในตอนกลางคืน (Nocturnal Seizures)

อาการชักในตอนกลางคืน (Nocturnal Seizures) เป็นอาการชักที่เกิดขึ้นระหว่างการนอนหลับหรือในช่วงเวลาที่กำลังจะหลับและตื่นขึ้น อาการชักประเภทนี้พบได้บ่อยในโรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ โดยอาจรบกวนการนอนหลับปกติ และผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าเกิดอาการชัก หากไม่มีใครสังเกตหรือหากพวกเขาประสบกับอาการต่าง ๆ เช่น สับสนหรืออ่อนเพลียเมื่อยามตื่นขึ้น

ลักษณะสำคัญของการชักในตอนกลางคืน:

  1. ช่วงเวลา:
    • อาการชักมักจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่เฉพาะเจาะจงของการนอนหลับ มักเกิดในช่วง non-REM sleep(ช่วงการนอนหลับเบา)
    • อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ๆ ตลอดทั้งคืน แต่มีแนวโน้มจะเกิดมากในช่วงการเปลี่ยนแปลงของการนอน เช่น ช่วงกำลังหลับหรือตื่นขึ้น หรือระหว่างการเปลี่ยนแปลงระยะการนอน
  2. ชนิดของการชัก:
    • การชักแบบโทนิค-โคลนิค (Tonic-clonic seizures): พบได้บ่อยในอาการชักตอนกลางคืน โดยมีลักษณะการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ (tonic) ตามด้วยการกระตุก (clonic)
    • การชักแบบโฟคัล (Focal seizures): การชักที่เริ่มจากส่วนหนึ่งของสมอง อาจทำให้เกิดการกระตุกที่แขนขาหรือเกิดอาการการเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ตั้งใจ เช่น การขยับริมฝีปาก
    • การชักแบบไมโอคลอนิก (Myoclonic seizures): การกระตุกหรือกระชากกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว มักเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ
  3. อาการ:
    • ผู้ป่วยอาจตื่นขึ้นมาด้วยอาการสับสน อ่อนเพลีย หรือมีอาการปวดหัว
    • อาจมีการกัดลิ้น ตกเตียง หรือได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการเคลื่อนไหวที่ไม่ตั้งใจ
    • อาการในช่วงกลางวันอาจรวมถึงความเหนื่อยล้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ปัญหาความจำ หรืออารมณ์แปรปรวน
  4. สาเหตุ:
    • อาการชักในตอนกลางคืนมักพบในผู้ป่วยโรคลมชัก โดยเฉพาะโรคลมชักที่เกิดจาก กลีบหน้าของสมอง (frontal lobe epilepsy) เช่น โรคลมชักกลีบหน้าที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (autosomal dominant nocturnal frontal lobe epilepsy) และ โรคลมชักไมโอคลอนิกวัยรุ่น (juvenile myoclonic epilepsy)
    • ปัจจัยที่อาจกระตุ้นการชักในตอนกลางคืน ได้แก่ การอดนอน ความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ และการเปลี่ยนแปลงการใช้ยา

การวินิจฉัย:

การวินิจฉัยอาการชักในตอนกลางคืนอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากเกิดในช่วงที่ผู้ป่วยนอนหลับ เครื่องมือที่ใช้ในการวินิจฉัย ได้แก่:

  • การตรวจคลื่นสมอง (EEG) ขณะหลับ: เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบกิจกรรมของสมองระหว่างการนอนหลับเพื่อจับความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมองที่เกี่ยวข้องกับการชัก
  • การตรวจ EEG ร่วมกับการบันทึกวิดีโอ: ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจถูกตรวจติดตามขณะหลับพร้อมกับการบันทึกวิดีโอเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับการชัก
  • การตรวจการนอนหลับ (Polysomnography): ใช้เพื่อแยกแยะความผิดปกติของการนอนอื่น ๆ ที่อาจคล้ายกับอาการชัก เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) หรือ พฤติกรรมแปลก ๆ ระหว่างการนอนหลับ (parasomnias)

การรักษา:

  1. ยา:
    • ยากันชัก (AEDs): การรักษาหลักคือการใช้ยากันชัก ซึ่งยาจะถูกปรับให้เหมาะสมกับชนิดของโรคลมชัก ยาที่ใช้บ่อยได้แก่ levetiracetamcarbamazepinelamotrigine และ valproic acid
    • การปรับเวลาการใช้ยา: สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการชักเฉพาะช่วงกลางคืน อาจต้องปรับเวลาการใช้ยาเพื่อปกป้องช่วงเวลานอนหลับให้ดียิ่งขึ้น
  2. การปรับปรุงวิถีชีวิต:
    • การปรับปรุงการนอนหลับ: การนอนให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการอดนอน และลดความเครียดอาจช่วยลดการชักในตอนกลางคืน
    • หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น: การลดปัจจัยเช่น แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และยาบางชนิดสามารถลดโอกาสการเกิดอาการชักได้
  3. การป้องกันการชัก:
    • ผู้ป่วยที่มีการชักบ่อยในตอนกลางคืนควรมีการเตรียมตัว เช่น การทำให้สภาพแวดล้อมการนอนปลอดภัย เช่น การใช้เตียงที่ไม่สูงมาก หรือการใช้ราวกั้นเตียงที่มีการป้องกัน

สรุป:

อาการชักในตอนกลางคืนเป็นอาการชักที่เกิดขึ้นขณะหลับและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การชักชนิดนี้มักพบในกลุ่มโรคลมชัก เช่น โรคลมชักกลีบหน้าของสมองและโรคลมชักไมโอคลอนิกวัยรุ่น การวินิจฉัยมักใช้การตรวจคลื่นสมองร่วมกับการตรวจการนอนหลับ และการรักษาประกอบด้วยการใช้ยากันชักและการปรับปรุงพฤติกรรมการนอนเพื่อควบคุมอาการ

โรคลมชักสะท้อน (Reflex Epilepsies)

โรคลมชักสะท้อน (Reflex Epilepsies) เป็นกลุ่มของกลุ่มอาการโรคลมชักที่การชักถูกกระตุ้นโดยสิ่งกระตุ้นภายนอกหรือกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งต่างจากการชักทั่วไปที่เกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดเดาได้ การชักในกลุ่มนี้มีสิ่งกระตุ้นที่ระบุได้และกระตุ้นการชักซ้ำ ๆ ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคลมชักสะท้อน โดยสิ่งกระตุ้นอาจมีความหลากหลาย เช่น สิ่งกระตุ้นทางประสาทสัมผัสหรือกระบวนการรับรู้

ชนิดของโรคลมชักสะท้อน:

  1. โรคลมชักไวต่อแสง (Photosensitive Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: แสงกระพริบหรือแสงจ้า ลวดลายที่สว่าง หรือสิ่งกระตุ้นทางสายตา เช่น การเล่นวิดีโอเกมหรือการดูทีวี
    • อายุที่พบได้บ่อย: มักพบในวัยเด็กหรือวัยรุ่น
    • การจัดการ: หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นทางสายตา การใส่แว่นตาโพลาไรซ์ หรือปรับความสว่างของหน้าจอ
  2. โรคลมชักที่ถูกกระตุ้นด้วยการอ่าน (Reading Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: การชักที่เกิดจากการอ่าน
    • ประเภทของการชัก: โดยทั่วไปเป็นการชักแบบกล้ามเนื้อกระตุก (myoclonic jerks) หรืออาจเป็นการชักที่กระจายตัวได้
    • การจัดการ: ใช้เทคนิคการอ่านออกเสียง หรือการใช้ตัวอักษรหรือเครื่องช่วยการมองเห็นที่เฉพาะเจาะจง
  3. โรคลมชักที่ถูกกระตุ้นด้วยดนตรี (Musicogenic Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: ดนตรีบางประเภทหรือตัวโน้ตดนตรีที่เฉพาะเจาะจงสามารถกระตุ้นการชักได้
    • ประเภทของการชัก: การชักอาจเริ่มจากจุดหนึ่งในสมอง (focal) หรือแพร่กระจายได้
    • การจัดการ: หลีกเลี่ยงดนตรีที่กระตุ้นหรือใส่ที่อุดหูเมื่อสัมผัสกับเสียงที่เป็นสิ่งกระตุ้น
  4. โรคลมชักจากสิ่งกระตุ้นแบบตกใจ (Startle Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: สิ่งกระตุ้นที่ทำให้ตกใจ เช่น เสียงดังหรือการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด
    • ประเภทของการชัก: โดยปกติจะเป็นการชักแบบแข็งตัวของกล้ามเนื้อ (tonic seizures)
    • การจัดการ: ลดการสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตกใจและใช้เครื่องป้องกันเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  5. โรคลมชักจากน้ำร้อน (Hot Water Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: การสัมผัสน้ำร้อน มักเกี่ยวข้องกับการอาบน้ำหรืออาบฝักบัว
    • ประเภทของการชัก: การชักอาจเกิดขึ้นในส่วนหนึ่งของสมอง (focal) หรือแพร่กระจายได้ และมักเกิดขึ้นไม่นานหลังจากสัมผัสน้ำร้อน
    • การจัดการ: หลีกเลี่ยงน้ำร้อนจัดและลดอุณหภูมิในการอาบน้ำ
  6. โรคลมชักไวต่อรูปแบบ (Pattern-sensitive Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: ลวดลายทางสายตา เช่น ลายเส้นหรือลายเรขาคณิตที่ซ้ำ ๆ
    • การจัดการ: หลีกเลี่ยงลวดลายทางสายตาเฉพาะหรือใส่แว่นตาพิเศษเพื่อลดการสัมผัส
  7. โรคลมชักที่ถูกกระตุ้นด้วยการกิน (Eating Epilepsy):
    • สิ่งกระตุ้น: การชักถูกกระตุ้นจากการกินหรือเคี้ยว
    • ประเภทของการชัก: โดยทั่วไปเป็นการชักแบบ focal
    • การจัดการ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและอาจใช้ยาควบคุมการชักในระหว่างมื้ออาหาร
  8. โรคลมชักที่ถูกกระตุ้นโดยการสัมผัส (Somatosensory-induced Seizures):
    • สิ่งกระตุ้น: การสัมผัสทางกาย เช่น การสัมผัสบริเวณบางส่วนของร่างกาย
    • ประเภทของการชัก: โดยทั่วไปเป็นการชักที่เกิดจากการกระตุ้นในบริเวณสมองที่เกี่ยวกับประสาทสัมผัส
    • การจัดการ: ระบุและหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่กระตุ้นได้

การวินิจฉัยและการรักษา:

  • การวินิจฉัย: โรคลมชักสะท้อนถูกวินิจฉัยโดยการตรวจประวัติทางการแพทย์ การตรวจคลื่นสมอง (EEG) และบางครั้งอาจต้องกระตุ้นสิ่งกระตุ้นที่รู้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อบันทึกแบบแผนการชักและยืนยันความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้นเฉพาะ
  • การรักษา: โดยทั่วไปการรักษาประกอบด้วย ยากันชัก (AEDs) และการปรับวิถีชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดการสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น สำหรับบางกรณี การใช้แว่นตาพิเศษหรือเทคนิคปรับตัวในชีวิตประจำวันอาจช่วยลดโอกาสการเกิดชักได้

สรุป:

โรคลมชักสะท้อนเป็นโรคลมชักชนิดหายากที่การชักถูกกระตุ้นโดยสิ่งกระตุ้นเฉพาะ เช่น แสงกระพริบ การอ่าน หรือเสียง แม้ว่าการชักในกลุ่มนี้จะมีความท้าทาย แต่สามารถจัดการได้ด้วยยาและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่รู้

การรักษาใหม่สำหรับโรคพาร์กินสัน

เลโวโดปา/คาร์บิโดปา แบบใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Levodopa/Carbidopa) เป็นตัวเลือกการรักษาใหม่สำหรับการจัดการโรคพาร์กินสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการในระยะรุนแรง ต่อไปนี้คือภาพรวมที่ละเอียดขึ้น:

เลโวโดปา/คาร์บิโดปา แบบใต้ผิวหนัง

  1. กลไกการออกฤทธิ์:
    • เลโวโดปา เป็นสารตั้งต้นของโดพามีน ซึ่งขาดหายไปในผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสัน เมื่อเข้าสู่สมอง เลโวโดปาจะถูกเปลี่ยนเป็นโดพามีน ช่วยปรับปรุงอาการทางการเคลื่อนไหว
    • คาร์บิโดปา จะช่วยยับยั้งการเปลี่ยนเลโวโดปาเป็นโดพามีนภายนอกสมอง ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ และทำให้มีเลโวโดปามากขึ้นที่ถึงสมอง
  2. วิธีการส่งยา:
    • การรักษานี้เกี่ยวข้องกับการให้เลโวโดปา/คาร์บิโดปาอย่างต่อเนื่องผ่านทางปั๊มขนาดเล็กที่ให้ยาผ่านใต้ผิวหนัง (subcutaneously) วิธีนี้ช่วยรักษาระดับพลาสมาของยาให้คงที่ ลดการเปลี่ยนแปลง
  3. ประโยชน์:
    • ลดการเปลี่ยนแปลงทางการเคลื่อนไหว: ผู้ป่วยมักมีช่วง “off” (ช่วงเวลาที่ยาไม่ทำงานได้ดี) น้อยลงและการควบคุมการเคลื่อนไหวที่มีเสถียรภาพมากขึ้น
    • ความสะดวกสบาย: การให้ยาแบบต่อเนื่องสามารถสะดวกกว่าสำหรับผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาในการรับประทานยา
    • คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น: ด้วยการควบคุมอาการที่ดีกว่า ผู้ป่วยอาจมีคุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้น รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้นและการลดอาการดิซเคนีเซีย (การเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นตั้งใจ)
  4. การบ่งชี้:
    • การรักษานี้มักพิจารณาสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันในระยะรุนแรงที่มีอาการทางการเคลื่อนไหวที่สำคัญ แม้จะมีการปรับยาในรูปแบบรับประทานแล้ว
  5. การให้ยา:
    • การให้ยามักทำโดยใช้ปั๊มพกพา ซึ่งอนุญาตให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมประจำวันได้ในขณะที่ได้รับการรักษา
  6. ผลข้างเคียง:
    • แม้จะทนได้ดีโดยทั่วไป แต่ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่ การระคายเคืองที่จุดฉีด คลื่นไส้ และดิซเคนีเซีย การตรวจสอบและการปรับเปลี่ยนอาจจำเป็นตามการตอบสนองของแต่ละบุคคล

สรุป

เลโวโดปา/คาร์บิโดปา แบบใต้ผิวหนังเสนอทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการจัดการโรคพาร์กินสันในระยะรุนแรง โดยการให้ระดับยาอย่างต่อเนื่องช่วยลดภาวะแทรกซ้อนทางการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น เมื่อใดก็ตามที่มีการรักษา เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องหารือเกี่ยวกับทางเลือกกับผู้ให้บริการด้านสุขภาพเพื่อกำหนดแนวทางที่ดีที่สุดตามความต้องการและสถานการณ์ของตนเอง

โรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอก (Tumor-Related Epilepsy: TRE) 

โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ที่มี เนื้องอกในสมอง (Brain Tumors) โดยมีผู้ป่วยประมาณ 30-50% ที่ประสบปัญหานี้ เมื่อเนื้องอกในสมองทำให้เกิดอาการชัก มักเรียกว่า โรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอก (Tumor-Related Epilepsy: TRE) ซึ่งเกิดจากการรบกวนการทำงานปกติของสมองที่เกิดจากการเติบโตของเนื้องอกและผลกระทบต่อเนื้อเยื่อสมองรอบข้าง

สาเหตุที่เนื้องอกในสมองทำให้เกิดโรคลมชัก:

  • ความกดดันจากเนื้องอก: เนื้องอกอาจกดทับเนื้อเยื่อสมอง ทำให้เกิดการปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติที่กระตุ้นอาการชัก
  • การอักเสบ: เนื้องอกในสมองมักทำให้เกิดการอักเสบ บวม และการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมทางเคมีในบริเวณนั้น ซึ่งสามารถกระตุ้นอาการชักได้
  • ประเภทของเนื้องอก: เนื้องอกในสมองบางประเภท เช่น กลีโอมา (Low-grade gliomas) และเมนิงจิโอม่า (Meningiomas) มักมีความสัมพันธ์กับอาการชักมากกว่าประเภทอื่นๆ

ประเภทของอาการชัก:

  • อาการชักเฉพาะที่ (Focal Seizures): เนื่องจากเนื้องอกในสมองมักส่งผลต่อบริเวณเฉพาะของสมอง อาการชักเฉพาะที่จึงพบได้บ่อย ซึ่งอาจแพร่กระจายไปเป็นอาการชักทั่วไป
  • อาการชักทั่วไป (Generalized Seizures): พบได้น้อยกว่า แต่สามารถเกิดขึ้นได้หากกิจกรรมไฟฟ้าผิดปกติเสียแพร่กระจายไปทั่วสมอง

การวินิจฉัย:

  • การถ่ายภาพทางการแพทย์ (Neuroimaging): MRI และ CT Scan เป็นวิธีที่ใช้ทั่วไปในการหาตำแหน่งของเนื้องอกและประเมินผลกระทบต่อสมอง
  • EEG (Electroencephalogram): ใช้วัดกิจกรรมไฟฟ้าในสมองเพื่อตรวจสอบรูปแบบที่ผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับอาการชัก

ประเภทของเนื้องอกในสมองที่เกี่ยวข้องกับโรคลมชัก

  1. กลีโอมาต่ำเกรด (Low-Grade Gliomas)
    • เป็นเนื้องอกที่เติบโตช้า ซึ่งเกิดจากเซลล์กลีอาในสมอง ตัวอย่างรวมถึงแอสโตรไซโตมา (Astrocytomas) และโอลิโกเดนโดรกลีโอม่า (Oligodendrogliomas)
    • อาการชัก: มักจะพบอาการชักได้บ่อย โดยเฉพาะเมื่อเนื้องอกอยู่ในบริเวณเปลือกสมอง ผู้ป่วยมักจะมีอาการชักเฉพาะที่
  2. กลีโอมาที่มีเกรดสูง (High-Grade Gliomas)
    • รวมถึงเนื้องอกที่รุนแรงมากขึ้น เช่น ไกลโอบลาสตอมา มัลติฟอร์ม (Glioblastoma Multiforme: GBM) ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถ infiltrate (แทรกซึม) เนื้อเยื่อสมองรอบข้าง
    • อาการชัก: อาการชักสามารถเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่มีกลีโอมาเกรดสูง แม้ว่าจะพบได้น้อยกว่าในกลีโอมาต่ำเกรด อาการชักสามารถเป็นได้ทั้งแบบเฉพาะที่หรือทั่วไป
  3. เมนิงจิโอม่า (Meningiomas)
    • เมนิงจิโอม่าเป็นเนื้องอกที่เกิดจากเมนินจิส (Meninges) ซึ่งเป็นชั้นป้องกันสมองและไขสันหลัง มักเป็นเนื้องอกที่ไม่รุนแรง แต่สามารถทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ได้เนื่องจากกดทับสมอง
    • อาการชัก: เมนิงจิโอม่าอาจทำให้เกิดอาการชักได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้กับพื้นผิวของสมอง เนื่องจากอาจทำให้เนื้อเยื่อเปลือกสมองเกิดการระคายเคือง
  4. เนื้องอกในสมองที่เกิดจากการแพร่กระจาย (Metastatic Brain Tumors)
    • คำอธิบาย: เป็นเนื้องอกที่แพร่กระจายมาจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ปอด เต้านม หรือเมลานอม่า (Melanoma)
    • อาการชัก: เนื้องอกในสมองที่เกิดจากการแพร่กระจายสามารถทำให้เกิดอาการชักได้ โดยเฉพาะเมื่อส่งผลกระทบต่อเปลือกสมอง
  5. เนื้องอกในสมองในเด็ก (Pediatric Brain Tumors)
    • มีเนื้องอกบางประเภทที่พบได้บ่อยในเด็ก เช่น เมดูลโลบลาสโตม่า (Medulloblastomas) และเอเพนดิโมมา (Ependymomas)
    • อาการชัก: เด็กที่มีเนื้องอกในสมองมักมีอาการชัก ซึ่งสามารถแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้องอกและตำแหน่ง
  6. อะดีโนม่าในต่อมใต้สมอง (Pituitary Adenomas)
    • ป็นเนื้องอกที่ไม่รุนแรงที่เกิดขึ้นในต่อมใต้สมอง ซึ่งสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน
    • อาการชัก: แม้ว่าจะไม่พบได้บ่อยนัก แต่ผู้ป่วยที่มีอะดีโนม่าในต่อมใต้สมองขนาดใหญ่บางรายอาจมีอาการชักได้เนื่องจากความกดดันที่มีต่อโครงสร้างสมองรอบข้าง

กลไกการเกิดอาการชัก

กลไกที่แน่ชัดที่ทำให้เนื้องอกในสมองทำให้เกิดอาการชักนั้นมีความซับซ้อนและอาจรวมถึง:

  • ตำแหน่งของเนื้องอก: เนื้องอกที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณเปลือกสมองมักทำให้เกิดอาการชักได้มากกว่า
  • การระคายเคืองเนื้อเยื่อสมอง: เนื้องอกสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อสมองรอบข้าง ซึ่งทำให้เกิดการปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติ
  • ความดันในกระโหลกศีรษะที่เพิ่มขึ้น: การบวมและความดันจากเนื้องอกอาจรบกวนการทำงานปกติของสมอง
  • การเปลี่ยนแปลงทางเคมี: เนื้องอกสามารถเปลี่ยนแปลงสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้เกิดกิจกรรมไฟฟ้าผิดปกติ

การวินิจฉัยและการรักษา

สรุป

  • การวินิจฉัย: การถ่ายภาพทางการแพทย์ (MRI หรือ CT Scan) เป็นสิ่งสำคัญในการหาตำแหน่ง ประเภท และที่ตั้งของเนื้องอกในสมอง EEG อาจถูกใช้เพื่อตรวจสอบกิจกรรมของอาการชัก
  • การรักษา: การจัดการอาการชักในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมองมักรวมถึง:
    • การผ่าตัด: หากเนื้องอกสามารถผ่าตัดได้ การเอาเนื้องอกออกอาจช่วยลดหรือขจัดอาการชักในผู้ป่วยหลายคน
    • ยาควบคุมอาการชัก (Anti-Seizure Medications): ยามักถูกสั่งให้ใช้เพื่อจัดการอาการชัก แม้ว่าบางผู้ป่วยอาจประสบกับโรคลมชักที่ต้านทานยา
    • การทำรังสีรักษาและเคมีบำบัด: การรักษาทั้งสองวิธีนี้อาจช่วยลดขนาดของเนื้องอกและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก

โรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกในสมองเป็นภาวะที่ซับซ้อน ซึ่งต้องการแนวทางการรักษาที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แม้ว่าการผ่าตัด ยา และการรักษาอื่นๆ จะช่วยจัดการกับอาการชักได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่องและปรับการรักษาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย

นื้องอกในสมองสามารถมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างมีนัยสำคัญ และอาการชัก (โรคลมชัก) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้องอกในสมองหลายประเภท ต่อไปนี้คือภาพรวมของประเภทเนื้องอกในสมองที่พบบ่อยและความสัมพันธ์กับโรคลมชัก:ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้องอกในสมองกับโรคลมชักมีความสำคัญ โดยอาการชักเป็นการนำเสนอที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกประเภทต่าง ๆ การจัดการที่มีประสิทธิภาพต้องการแนวทางที่หลากหลาย รวมถึงการแทรกแซงทางศัลยกรรม ยา และการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย

วิธีการรักษา:

  1. การผ่าตัด:
    • การตัดเนื้องอก (Tumor Resection): หากเนื้องอกสามารถผ่าตัดได้ การเอาเนื้องอกออกจะช่วยลดหรือขจัดอาการชักในผู้ป่วยหลายคน
    • การควบคุมอาการชักหลังการผ่าตัด: ในบางกรณี อาการชักอาจยังคงเกิดขึ้นแม้หลังจากการเอาเนื้องอกออก แต่ความถี่และความรุนแรงมักจะลดลง
  2. ยาควบคุมอาการชัก (Anti-Seizure Medications: ASMs):
    • การรักษาหลัก: ยาควบคุมอาการชักมักถูกสั่งให้ใช้เพื่อจัดการอาการชักในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมอง การเลือกใช้ยาขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วยและการปฏิสัมพันธ์ของยา
    • ความต้านทานต่อยา: โรคลมชักที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกอาจควบคุมได้ยากด้วยยา โดยเฉพาะในกรณีที่เนื้องอกไม่สามารถผ่าตัดได้หรือกำลังลุกลาม
  3. การทำรังสีรักษาและเคมีบำบัด:
    • การรักษาทั้งสองวิธีนี้อาจช่วยลดขนาดของเนื้องอกและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการชัก แม้ว่าบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการชักที่รุนแรงขึ้นชั่วคราวเนื่องจากการอักเสบหรือผลข้างเคียงอื่น ๆ
  4. อาหารคีโตเจนิค (Ketogenic Diet):
    • อาหารคีโตเจนิคซึ่งโดยปกติใช้ในการรักษาโรคลมชักประเภทอื่น ๆ ก็แสดงให้เห็นว่ามีศักยภาพในการช่วยควบคุมอาการชักในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมอง

การพยากรณ์โรค:

  • การควบคุมอาการชักอาจเป็นเรื่องท้าทายในผู้ที่มีเนื้องอกในสมอง และการพยากรณ์โรคจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้องอก ตำแหน่ง และการตอบสนองต่อการรักษา
  • อาการชักสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต และการจัดการมักต้องการการผสมผสานระหว่างการรักษาเนื้องอกและกลยุทธ์การควบคุมอาการชัก

การใช้อาหารคีโตเจนิค (Ketogenic Diet) ในการรักษาโรคลมชัก

อาหารคีโตเจนิค (Ketogenic Diet) เป็นอาหารที่มีไขมันสูงและคาร์โบไฮเดรตต่ำ ซึ่งใช้ในการจัดการโรคลมชัก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่การใช้ยาควบคุมอาการชักไม่ได้ผล จุดประสงค์ของอาหารนี้คือการกระตุ้นให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะ คีโตซิส (Ketosis) ซึ่งร่างกายจะเผาผลาญไขมันเป็นพลังงานแทนการใช้คาร์โบไฮเดรต และผลิตสารคีโตนที่มีผลช่วยลดอาการชัก

ประเด็นสำคัญ:

  • กลไกการทำงาน: ภาวะคีโตซิสจะเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญในสมอง ซึ่งอาจช่วยลดอาการชัก แม้ว่าจะยังไม่ทราบกลไกแน่ชัด แต่สารคีโตนอาจมีผลทำให้การทำงานของสมองคงที่
  • ประสิทธิภาพ: ประมาณ 30-50% ของผู้ที่มีโรคลมชักชนิดควบคุมได้ยาก (โดยเฉพาะในเด็ก) จะมีอาการชักลดลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเริ่มใช้อาหารนี้ และบางรายอาจหายขาดจากอาการชัก
  • ประเภทของอาหารคีโตเจนิค:
    • อาหารคีโตแบบดั้งเดิม: มีไขมันสูงและมีอัตราส่วนไขมันต่อคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เข้มงวด (มักจะ 4:1)
    • Modified Atkins Diet (MAD): เป็นเวอร์ชันที่เข้มงวดน้อยลง แต่ยังคงมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ
    • Low Glycemic Index Treatment (LGIT): เน้นการเลือกคาร์โบไฮเดรตที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ
    • อาหาร MCT: ใช้น้ำมันไตรกลีเซอไรด์สายกลาง (MCT) ทำให้สามารถบริโภคคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนได้มากขึ้น

ผลข้างเคียง:

แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพ แต่อาหารคีโตเจนิคอาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก คอเลสเตอรอลสูง นิ่วในไต และ การขาดสารอาหาร ดังนั้นการรับประทานอาหารนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลและตรวจสุขภาพอย่างใกล้ชิด

สรุป:

อาหารคีโตเจนิคเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อยา โดยเฉพาะในเด็ก แต่จำเป็นต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและต้องมีการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

อุปกรณ์ส่งยาพกพาเพื่อช่วยผู้ป่วยพาร์กินสันที่ดื้อต่อยา


การรักษาใหม่นี้ช่วยผู้ป่วยที่อาการไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยารับประทาน อุปกรณ์นี้เป็นเครื่องปั๊มเล็กๆ ที่ติดตัวไว้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยส่งยาใต้ผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ ลดความจำเป็นในการรับประทานยาบ่อยๆ และช่วยควบคุมผลข้างเคียงได้ดียิ่งขึ้น

NHS เปิดตัวอุปกรณ์ส่งยาพกพาเพื่อช่วยผู้ป่วยพาร์กินสัน

ผู้ป่วยพาร์กินสันขั้นรุนแรงหลายร้อยคนจะได้รับประโยชน์จากอุปกรณ์ส่งยาพกพาแบบใหม่ที่ขณะนี้มีให้บริการในระบบ NHS อุปกรณ์การรักษานวัตกรรมนี้เรียกว่า foslevodopa-foscarbidopa ซึ่งสามารถส่งยาได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้น

การทำงานของอุปกรณ์
ยาที่ใช้ในอุปกรณ์นี้ประกอบด้วย foslevodopa ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสารโดปามีนในร่างกาย เพื่อปรับปรุงการสื่อสารระหว่างสมองและระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ผู้ป่วยยังสามารถเพิ่มปริมาณยาได้เองเมื่อต้องการ ทำให้ควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน

การรักษาที่เปลี่ยนแปลงชีวิต
อุปกรณ์ใหม่นี้เป็นทางเลือกแทนการรักษาที่ต้องใช้ท่อให้อาหารอย่างถาวร ซึ่งมีให้บริการในระบบ NHS ก่อนหน้านี้ ปัจจุบันอุปกรณ์ส่งยาพกพานี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีความคล่องตัวมากขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนขวดและสายส่งยาได้เองที่บ้าน

ผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิก จอห์น วิปส์ อายุ 70 ปี จากคอร์นวอลล์ อธิบายว่า:
“ก่อนหน้านี้ผมต้องรับประทานยาวันละเกือบ 20 เม็ด และมักจะตื่นกลางดึกเพราะตัวสั่น ตอนนี้เมื่อมีปั๊มทำงานตลอดคืน อาการของผมก็ควบคุมได้ดียิ่งขึ้น และชีวิตก็เป็นไปตามแผนมากขึ้น”

ฟิล อายุ 52 ปี จากคอร์นวอลล์ กล่าวว่า:
“ปั๊มนี้ทำงานต่อเนื่อง ช่วยให้ผมนอนหลับได้ดีขึ้นและเคลื่อนไหวได้มากขึ้นในตอนกลางวัน ผมยังสามารถเพิ่มปริมาณยาได้เองเมื่อจำเป็น”

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับ NHS
การเปิดตัวอุปกรณ์ส่งยาพกพานี้คาดว่าจะช่วยผู้ป่วยได้เกือบ 1,000 คนทั่วอังกฤษ เจมส์ พาล์มเมอร์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ NHS England กล่าวว่า การรักษานี้เป็นตัวเลือกใหม่ที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้การรักษาแบบอื่นได้ เช่น การกระตุ้นสมองลึก
“เราหวังว่าการรักษานี้จะช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมอาการได้ดียิ่งขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น” พาล์มเมอร์กล่าว

พาร์กินสันเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อประชากรประมาณ 128,000 คนในอังกฤษ สำหรับผู้ที่อาการไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยารับประทาน foslevodopa-foscarbidopa ถือเป็นทางเลือกการรักษาที่มีคุณค่ายิ่ง

ลอร่า ค็อกแรม หัวหน้าแผนกแคมเปญของ Parkinson’s UK กล่าวว่า:
“การรักษาแบบฉีดนี้อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ดีด้วยยารับประทาน แม้จะไม่เหมาะสำหรับทุกคน แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการรักษา”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มาเรีย คอลฟิลด์ กล่าวชื่นชมการพัฒนานี้ว่า:
“การเปิดตัวนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NHS ในการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพ นี่เป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่กับโรคพาร์กินสันขั้นรุนแรง”

ขณะนี้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงทางเลือกการรักษาใหม่นี้ได้แล้วในระบบ NHS ทั่วอังกฤษ และผู้ป่วยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือพยาบาลพาร์กินสันของตนเพื่อตรวจสอบว่าวิธีการนี้เหมาะสมกับตนหรือไม่